บทนำ
ถ้าพูดถึงเหรียญคริปโทเคอร์เรนซี (Cryptocurrency) (“คริปโต”) หรือโทเคน (Token) ซึ่งมีอยู่หลากหลายประเภท ทั้งบิทคอยน์ (Bitcoin | BTC) อัลท์คอยน์ (Altcoins | ETH, BNB, ADA, LUNA etc.) หรืออาจจะแบ่งเป็นแบบเหรียญกาว (Shitcoins | SQUID) เหรียญหมาตระกูลมีม (Memecoins | DODGE, SHIB, BabyDoge etc. ) เหรียญสเตเบิ้ล (Stablecoins | USDT, BUSD, USDC, UST) เหรียญแฟน (Fan Tokens | PSG, CITY, BAR etc. )ฯลฯ ก็คงจะหนีไม่พ้นถึงเรื่องของการลงทุน เพราะในช่วงปี 2021 ที่ผ่านมาได้มีผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลเข้ามายังในตลาดคริปโทเคอร์เรนซีจนทำให้ราคาของคริปโทเคอร์เรนซีผลักตัวสูงขึ้น พลิกชีวิตคนธรรมดาหลายคนให้กลายเป็นเศรษฐี ซึ่งก็เป็นสิ่งที่หลายคนไม่ได้คาดการณ์มาก่อน
แม้การเติบโตของตลาดคริปโทเคอร์เรนซีนั้น ส่วนหนึ่งเป็นผลพวงมาจากการพัฒนาของเทคโนโลยีจำพวกบล็อกเชน (Blockchain) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการประมวลผลและจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (Decentralization) หรือที่เรียกอีกอย่างว่า Distributed Ledger Technology (DLT)
อย่างไรก็ดี การเติบโตขึ้นของราคาอย่างก้าวกระโดดในช่วงปีที่ผ่านมาอาจกล่าวได้ว่าเป็นผลมาจากการพยายามเก็งกำไร (Speculation) หรืออุปสงค์ในลักษณะการพนัน (Lottery-Like) มากกว่าจะเป็นเรื่องของความสนใจในเทคโนโลยี หรือแม้แต่การต่อสู้กับรัฐบาลของแต่ละประเทศ (แบบที่นักลงทุนที่มีชื่อในไทย เช่น ลุงโฉลก หรือ อาจารย์พิริยะ พยายามใช้เป็นจุดยืน) จึงทำให้บิทคอนย์หรือคริปโตมีความผันผวน (Volatility) ของราคาสูงมาก ขนาดที่ว่าซื้อวันนี้รวยหรือจนพรุ่งนี้ได้ในทันที ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมีการปั่น (Pump-and-Dump) กันอยู่เป็นนิตย์
การเข้ามาซื้อคริปโตเพราะอยากได้กำไร อยากได้เงินสิบเท่าร้อยเท่าก็เป็นเรื่องปรกติ เพราะใคร ๆ ก็อยากจะรวยเร็ว แม้แต่ตัวผู้เขียนเอง และก็ไม่มีอะไรเสียหายถ้าเราสามารถหาประโยชน์หรือทำกำไรได้ไม่ว่าจะในระยะสั้นหรือระยะยาวจากตลาดคริปโต ไม่ว่าเราจะมีความเชื่อในเทคโนโลยี ระบบการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง หรือการต่อต้านอำนาจรัฐ ฯลฯ โดยคริปโตหรือไม่ก็ตาม
“แล้วลงทุนในคริปโตแบบไหนถึงจะไม่ขาดทุน”
คำตอบก็คือไม่มีวิธีที่ทำให้การลงทุนของคุณไม่ขาดทุน เพราะไม่ว่าจะเป็นการลงทุนในลักษณะเน้นคุณค่า (Value Investing) หรือ การลงทุนโดยการวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค (Technical Analysis) ก็ไม่มีสิ่งที่มีลักษณะแน่นอน (Absolute)
พอมาถึงจุดนี้ทุกคนก็เริ่มจะตั้งคำถามกันในใจแล้วว่า ถ้าอย่างนั้นไม่ว่าจะใช้วิธีการลงทุนแบบไหนก็ไม่แตกต่างกันใช่หรือไม่ แต่จริง ๆ การลงทุนอย่างเป็นระบบด้วยวิธีการที่ถูกต้อง ซึ่งรวมถึงการจัดการเงินทุน (Money Management) จะช่วยลดโอกาสในการขาดทุนของเราลงได้ และจะแตกต่างกับการที่เราลงทุนในลักษณะของ การพนัน
แม้ในความเป็นจริงแล้วอาจจะมีคนที่ร่ำรวยจากการพนันในช่วงที่ผ่านมาอยู่มากมาย ความโชคดีหรือความน่าจะเป็นที่คนหนึ่งคนจะเป็นผู้โชคดีทุกครั้งนั้นต่ำมาก จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมเราจึงควรเรียนรู้วิธีการในการลงทุนเบื้องต้น และจัดการเงินลงทุนของเราอย่างมีประสิทธิภาพ
“ไม่ควรพยายามรีบรวยจากการเล่นพนัน”
แต่ผู้เขียนก็ยอมรับว่าบางทีเราอาจจะเจียดเงินส่วนน้อยมากขนาดที่จะทิ้งได้มามาลงทุนคริปโตในลักษณะของการพนันบ้างก็ได้เพื่อความสนุกสนานของชีวิต แต่นั้นก็ขอให้เป็นแค่เป็นส่วนน้อยมาก และเป็นเงินที่สามารถจะทิ้งได้จริง ๆ เพราะก็ไม่มีคนดีดีที่ไหนเอาเงินเก็บไปซื้อหวยงวดเดียวหมดอย่างแน่นอน
“เลิกถามว่าซื้อเหรียญอะไรดี ทำไมเหรียญนี้ถึงพุ่ง”
ที่สำคัญคือแม้เราจะพึ่งพาข่าวสารหรืออะไรจากคนอื่นก็ตาม เราควรจะจำไว้ว่าเราลงทุนด้วยตัวเองเพื่อผลตอบแทนของตัวเอง เราจึงควรที่จะมีความสามารถในการตัดสินใจการลงทุนแต่ละครั้งด้วยตัวเองและค้นหาข้อมูลที่จำเป็นได้โดยไม่ต้องไปโพสถามคน (หรือจะโพสถามก็ต่อเมื่อเราพยายามทำทุกอย่างด้วยตัวเองแล้วแต่ก็ยังไม่ได้คำตอบ)
“อย่าเชื่อคนอื่นและตัวเองที่ชอบมโน”
หลังจากที่เกริ่นนำไปพอสมควรก็อยากจะให้ผู้อ่านทุกท่านอ่านบทความนี้ รวมทั้งศึกษารูปแบบในการลงทุนจากหลาย ๆ ที่ในหลาย ๆ รูปแบบเพื่อที่จะได้มุมมองในการลงทุนที่กว้้างขึ้น
การลงทุนไม่ได้มีแค่การซื้อมาขายไป
จะเห็นว่าผมได้เกริ่นข้างต้นไว้แล้วว่าเราไม่ควรพยายามรวยเร็วจากการเล่นพนัน เพราะโอกาสที่เราจะจนจากการทำแบบนั้นมันมีมากกว่าเยอะ และคนที่ขาดทุนก็ไม่เคยเอาประสบการณ์ของตัวเองมาเล่าหรือโม้อย่างภาคภูมิใจเหมือนตอนที่ตัวเอง “เดา” ถูก
ทีนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่มีในโลกของบล็อกเชนที่เราเรียกว่าระบบการเงินแบบไร้ศูนย์กลาง (Decentralized Finance | DeFi) มีอยู่มากมาย ไม่าว่าจะเป็นการปล่อยกู้ (Lending) การกู้ (Borrowing) การฟาร์ม (Yield Farming) การกู้แบบทันที ( Flash Loan) การตรวจสอบธุรกรรม (Staking) ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่ดำเนินการผ่านทางสัญญาอัจฉริยะ (Smart Contract) ซึ่งสามารถตรวจสอบได้ (ถ้าอ่านเป็น) จึงมีความโปร่งใสในระดับหนึ่ง
สิ่งที่อยากบอกข้างต้นคือการลงทุนในคริปโตไม่ได้จำกัดอยู่การซื้อเหรียญไปมาในลักษณะการซื้อถูกขายแพง แต่มีวิธีอีกมากมายซึ่งก็ไม่ได้มีความซับซ้อนอะไรมากเกินความสามารถของทุกคนที่จะเรียนรู้ ทั้งนี้บางศูนย์ซื้อขาย (Exchange) ก็มีผลิตภัณฑ์ทางการเงินหลาย ๆ อย่างให้เล่นได้ในแอปพลิเคชันของตัวเอง (แต่ก็ไม่ใช่ระบบไร้ศูนย์กลางเพราะทุกอย่างควบคุมได้โดยเจ้าของศูนย์ซื้อขาย) ถ้าในไทยก็มีตัวอย่าง เช่น Zipmex หรือทางต่างประเทศก็มีอยู่หลายเจ้ามาก แต่ที่มีเกือบทุกอย่างก็ไม่พ้น Binance
เบื้องต้นเราสามารถใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเสี่ยงต่ำเมื่อเทียบกับการซื้อถูกขายแพงอย่างการฝาก Stablecoins ซึ่งผูกกับค่าเงินดอลล่าห์สหรัฐอย่าง USDT, USDC, UST เพื่อรับดอกเบี้ยได้ 10-20% โดยไม่ต้องติดตามการลงทุนเลยก็ว่าได้ อย่างของไทยก็จะมี Zipmex ที่ให้ดอกเบี้ย USDC เริ่มต้นที่ 9% ต่อปี หรือ Binance ก็สามารถฝาก USDT เพื่อรับดอกเบี้ยได้สูงสุดที่ 11% ต่อปี (เมื่อเป็น VIP 4) ทั้งนี้แม้จะมีความเสี่ยงเรื่องเสถียรภาพของ Stablecoins ดังกล่าวเข้ามาเป็นปัจจัยในการพิจารณาการลงทุน ผู้เขียนก็มองว่าคุ้มค่า
ทั้งนี้บางศูนย์ซื้อขายอย่าง OKEX ก็สามารถรับดอกเบี้ยเงินฝากได้สูงสุดถึง 23% ต่อปีจากการฝากเหรียญ Stablecoins ส่วนทางฝั่ง DeFi ก็จะมีผลตอบแทนตั้งแต่ 10% ต่อปีจากการเป็นผู้ให้สภาพคล่อง (Liquidity provider) ผ่านทางการวางเหรียญ Stablecoins บนแพลตฟอร์มต่าง ๆ หรือเป็นการฝาก UST ผ่านทาง Anchor Protocol ซึ่งมีผลตอบแทนราว 20% ต่อปีหรือถ้ามีความรู้สามารถพลิกแพลงใช้เครื่องมือหลาย ๆ ตัวรวมกันเพื่อรับผลตอบแทนที่สูงขึ้น หรืออาจจะมีผู้ให้บริการบน DeFi บางเจ้าที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่านี้อีกก็เป็นได้ (แต่ผลตอบแทนอาจจะไม่ได้เป็นเหรียญ Stablecoins ทำให้มีความเสี่ยงในการถือ)
เห็นแบบนี้ิแล้วผลตอบแทนจากการฝากเงินที่ 1-2% ต่อปี หรือการพยายามเก็บผลตอบแทนที่สูงขึ้นมาที่ 5-10% ต่อปีจากทั้งพันธบัตรรัฐบาล หุ้น หรือกองทุน (ซึ่งก็มีความเสี่ยงที่จะขาดทุน) กลายเป็นสิ่งที่ดูบ้าบอไปเลยทีเดียว (แม้ต้องยอมรับว่าผลิตภัณฑ์ใน DeFi ดูจะมีความเสี่ยงทางด้านเสถียรภาพมากกว่า)
“ก็ไม่ใช่ว่าจะเอาเงินลงทุนมาลงคริปโตหมดเลย”
อย่างไรก็ดีการลงทุนแบบเก่าอย่างพันธบัตรรัฐบาล หุ้น ฯลฯ ก็ยังเป็นหนึ่งในตัวเลือกของการลงทุนซึ่งควรถูกจัดอยู่ในพอร์ทการลงทุนของทุกคนเพื่อการกระจายความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องด้วยไม่มีใครสามารถทำนายอนาคตได้ ประกอบกับตลาดคริปโตมาลักษณะที่โตมากเกินไปในระยะเวลาอันสั้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจากการพยายามเก็งกำไรตามที่กล่าวข้างต้น ตลาดคริปโตจึงอาจจะเกิดการปรับฐานเพื่อแสวงหามูลค่าที่แท้จริงจนตลาดพังครั้งใหญ่เมื่อไหร่ก็ได้ในปัจจุบัน
ตั้งเป้าหมายของผลตอบแทน
เบื้องต้นเมื่อเราเห็นแล้วว่าในโลก DeFi นั้นมีผลิตภัณฑ์ที่ให้ผลตอบแทนจากการนำเหรียญคริปโตประเภท Stablecoins ไปลงทุนสูงพอสมควร เราควรจะแบ่งเงินที่จะลงทุนในคริปโตออกเป็นหลาย ๆ ส่วน เพื่อกระจายความเสี่ยงไม่ว่าในตลาดขาขึ้น (Bull Market) หรือขาลง (Bear Market) โดยไม่ให้ความโลภหรือความกลัวตกรถ (FOMO) เข้าครอบงำ
แน่นอนว่า 1 BTC นั้นเท่ากับ 1 BTC แต่ 1 BTC ในวันนี้อาจจะเท่ากับ 1 ล้านบาท ขณะที่ ผ่านไป 10 ปี 1 BTC อาจจะเท่ากับ 10 ล้านบาทหรือ 1 แสนบาทก็ได้ทั้งนั้น เพราะงั้นเราไม่ควรจะนำแนวความคิดของคนที่รวยแล้วมีเป้าหมายในการถือครองเหรียญต่างจากเรา และก็ไม่ควรใช้อารมณ์มโนไปว่าเหรียญนี้จะมีราคาสูงขึ้น แม้เราจะไม่ได้เข้าใจอะไรเกี่ยวกับเทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ หรือเศรษฐศาสตร์ที่อยู่เบื้องหลังเหรียญคริปโตเหล่านั้นเลยก็ตาม
แน่นอนว่ายิ่งเงินน้อยเรายิ่งเสี่ยงได้มาก เพราะเราอาจจะทิ้งเงินน้อยได้โดยที่ไม่มีผลกระทบกับการดำเนินชีวิต จึงคาดว่าผลตอบแทนสิบหรือร้อยเท่าได้ง่าย เช่น เราลงทุน 100 บาท อาจจะเอาไปวางใน Shitcoins เพื่อลุ้นระทึกเหมือนกับการเล่นหวยได้ ขณะที่ถ้าเราลงทุน 1 ล้านบาทในคริปโต เราก็จะมุ่งเป้าไปที่การลงทุนในเหรียญที่ดูจะมีความน่าเชื่อถือจากสื่อ และมีอันดับของจำนวนเงินไหลเข้าเป็นอันดับต้น ๆ ไม่ว่าจะเป็น BTC, ETC, BNB โดยอาจจะหวังผลตอบแทนที่น้อยลง
อย่างไรก็ตามอยากให้ทุกคนที่ลงทุนมองการลงทุนในระยะยาว แม้เราจะเข้าลงทุนวันนี้ แล้วขาดทุน แต่ถ้าเรามีระบบในการลงทุนที่ดีแล้ว ท้ายที่สุดแม้จะแพ้กลุ่มคนที่พนันแล้วรวยได้ในระยะเวลาอันสั้น ก็ไม่ได้สำคัญเท่ากับการที่เราน่าจะสามารถชนะตลาดในระยะยาวได้ด้วยวิธีการลงทุนที่ถูกต้อง
“ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าขายหมู มีแต่สิ่งที่เรียกว่าความโลภ”
หากให้ยกตัวอย่าง สำหรับผู้เขียนเอง ในสิบส่วน อาจจะแบ่งเงินที่ลงทุนในคริปโตแปดส่วนไปลงไว้ในกลุ่ม Stablecoins ซึ่งมีผลตอบแทนแน่นอนที่ 10-20% และอีก 2 ส่วนก็นำไปลงทุนในเหรียญที่มี Investors หรือ Partners ที่เป็นบริษัทที่น่าเชื่อถือ โดยจะแบ่งต่อเป็นถือยาว 1 ส่วน และเล่นระยะสั้นอีก 1 ส่วน โดยคาดการณ์ผลตอบแทนที่ 1 เท่าตัว และไม่ลงทุนในไม้เดียว ทำให้รับความเสี่ยงของการขึ้นลงได้อย่งสม่ำเสมอ
การเลือกเหรียญที่จะลงทุน
แต่ในเมื่อเราไม่สามารถประเมินมูลค่าที่แท้จริงของเหรียญคริปโตไที่ไม่ใช่ Stablecoins ที่ตรึงราคากับค่าเงินหรืออย่างหุ้นที่มีมูลค่าทางบัญชีของบริษัทเป็นพื้นฐาน หรือก็คือไม่มีมูลค่าพื้นฐานที่ใช้สำหรับการอ้างอิง (Underlying Value) แล้วเราจะใช้มาตรฐานอะไรในการเลือกเหรียญลงทุน อันนี้ก็ทำให้การวิเคราะห์ปัจจัยทางเทคนิค หรือการพิจารณาทีมพัฒนาหรือนักลงทุนในเหรียญนั้นอาจกลายเป็นส่วนสำคัญมากกว่าโปรเจคของเหรียญหรือ Network หนึ่ง ๆ นั่นเอง
“มองหาปัจจัยที่น่าเชื่อถือ”
นอกจากนั้นแล้ว แม้จะเป็นการยากก็ตามที การทำความเข้าใจในระบบของเหรียญที่ซื้อในระดับเบื้องต้นก็เป็นสิ่งที่สมควรทำ โดยต้องเข้าใจว่าระบบ Decetralization นั้นมีอยู่หลายมิติ แน่นอนว่าการที่เหรียญคริปโตหนึ่งมีระบบ Decetralization ที่สมบูรณ์แบบกว่าเหรียญคริปโตอื่น ไม่ได้หมายความว่าราคาจะต้องสูงกว่าเสมอไป หรือไม่ได้แปลว่าระบบ Centralization จะเป็นระบบที่ชั่วร้ายหรือไม่ดีแต่อย่างใด
การที่เราเข้าใจระบบของเหรียญที่ลงทุนโดยเบื้องต้นก็จะสามารถช่วยให้เราทำความเข้าใจในเหตุการณ์หรือคาดการณ์ผลที่ตามมาของแต่เหตุการณ์ที่เกี่ยวพันกับเหรียญนั้นได้ เพื่อเป็นหนึ่งในตัวเลือกลดทอนความเสี่ยงจากการลงทุนในเหรียญคริปโตนั้น ๆ ได้ (แน่นอนว่ามันก็ไม่ Absolute แต่อย่างใด แต่อย่างน้อยก็ใช้เป็นหนึ่งในหลักสำหรับการเดินหมากการลงทุนในคริปโตของเราได้)
“มีความเชื่อได้ในขอบเขตที่พอดี”
ในกรณีที่เราจะลงทุนในเหรียญคริปโตที่มีความเสี่ยงสูงมากจากการอาศัยความเชื่อโดยไม่ทำการบ้านฝั่งการวิเคราะห์เลย สามารถทำได้ อย่างเช่นคิดว่าเหรียญ KUB ของ Bitkub จะโตวันโตคืน ระยะยาวเป้าน่าจะไป 10,000 บาท เราก็อาจจะถือยาว ๆ ก็ได้ เพียงแต่ควรจะกำหนดสัดส่วนการลงทุนในปริมาณที่ต่ำ ไม่เทหมดหน้าตักเพียงเพราะความเชื่อ มิเช่นนั้นก็อาจจะหมดตัวได้เช่นกัน
ลงทุนในความปลอดภัย
เมื่อเราเอาเงินเข้ามาลงทุนในตลาดที่มีความเสี่ยงสูง การเจียดเงินหรือเสี้ยวเดียวมาลงกับการรักษาความปลอดภัยเป็นสิ่งที่ควรทำอันดับแรก ๆ ตัวอย่างเช่นถ้าเราใช้บริการ Centralized Exchange อย่าง Bitkub, Binance, Satang Pro, Zipmex, Bitazza etc. เราควรจะเปิดการรักษาความปลอดภัยอย่าง 2FA หรือปิดการโอนเข้าออกของเหรียญหากทำได้ เพื่อป้องกันการโดนขโมย
หรือในกรณีที่เราใช้ DeFi ก็ควรจะซื้อ Hardware Wallet ไม่ว่าจะเป็น Ledger, Trezor, Safepal etc. เพื่อยืนยันธุรกรรม ซึ่งมีราคาเริ่มตั้งแต่หลักพันกว่าไปถึงครึ่งหมื่น รวมทั้งต้องเก็บ seedphase ไว้ในที่ปลอดภัย หรืออาจจะมีมาตรการขั้นสุดในการตั้ง passphase ที่ไม่บันทึกไว้ที่ไหนบนโลกนอกจากสมองของเรา เพื่อให้แน่ใจได้ว่าเงินของเราจะไม่ถูกขโมยออกไปไ่ม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม (ส่วนตัวผู้เขียนจำ Seedphase ไว้ในหัวด้วยเลย เผื่อรีบ restore หรือกรณีฉุกเฉิน)
“อย่าเป็นคนเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย”
แม้จะเป็นเรื่องพื้นฐานแต่ก็พบว่าหลายคนละเลยและคิดไปเองว่าการเก็บ seedphase ไว้ในโลกออนไลน์นั้นปลอดภัย โดยหารู้ไม่ว่าเป็นการเปิดโอกาสให้กระเป๋าเงินของตัวเองมีช่องโหว่ (compromised) และถูกขโมยเหรียญคริปโตได้ทุกเมื่อ
สถานที่หาข้อมูลในการลงทุน
ในปัจจุบันก็มีแพลตฟอร์มที่ใช้พูดคุยหลายเจ้า ซึ่งมีวัตถุประสงค์ต่างกันไป แน่นอนว่าหนีไม่พ้น Twitter ที่เป็นศูนย์รวมของการประกาศต่าง ๆ ของแต่ละผู้ให้บริการ DeFi ขณะที่ Telegram หรือ Discord ก็ถูกใช้งานในหลาย ๆ เจ้า เพราะฉะนั้นทางที่ดีควรจะเข้าไปติดตามสังคมของผู้ที่ถือเหรียญที่เราลงทุนอยู่อย่างสม่ำเสมอ
สำหรับกลุ่มที่พูดคุยทั่วไปเกี่ยวกับเหรียญก็อาจจะเข้าไปอยู่ในกลุ่มที่มีชื่ออย่างกลุ่มของ Bitcoin Addict เพื่อติดตามภาพรวมของตลาดหากเราไม่ค่อยมีเวลา หรือถ้าต้องการติดตามกลุ่มที่บอกสัญญาณทางเทคนิคก็อาจจะหาติดตามในเว็ปต่างประเทศ ตัวอย่างที่ผมดูอยู่มี Rocket Wallet Signals ซึ่งให้บริการอยู่บน Telegram พวกนี้ถ้าจ่ายเงินก็จะมีบทวิเคราะห์เชิงลึกหรือรอบการวิเคราะห์พิเศษอยู่ตลอด แต่ก็แนะนำให้ลงทุนด้วยฝีมือตัวเองมากกว่าอยู่ดี
ช่องการลงทุนที่ส่วนตัวผู้เขียนชอบและแนะนำก็จะมี Weath Me Up กับ The Money Game แล้วก็ The Money Coach ซึ่งอาจจะไม่ได้พูดเรื่องคริปโตโดยตรงแต่เป็นเรื่องของแนวคิดในการลงทุนซะมากกว่า หากจะต้องเจาะลึกในเรื่องของการวเคราะห์ทางเทคนิค หรือเทคโนโลยีก็จะค้นเอาหลาย ๆ ที่ใน Google แทน
บทสรุป
การที่เราอยากจะรวยอยากจะมีเงินนั้นเป็นเรื่องปรกติ แต่อย่างไรก็ดีหากเรามองแต่เพียงแค่ว่าอยากจะรวยเร็วในระยะเวลาอันสั้นโดยไม่พยายามเรียนรู้ธรรมชาติของตลาดที่จะลงทุนอาจจะสร้างผลเสียกับตัวเราในระยะยาว แม้เราจะได้กำไรมาหนึ่งล้านบาท ถ้าเราลงทุนในลักษณะการพนันทั้งหมดอาจจะทำให้หนึ่งล้านบาทที่กำไรพลิกกลับกลายเป็นขาดทุนได้ในระยะเวลาอันสั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการสร้างระบบที่จะทำให้สามารถตัดสินใจได้และไม่ทำให้เราเสียใจในภายหลังนั้นเอง หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับทุกคน ยังไงขอบคุณทุกท่านที่สละเวลามาอ่านครับ