การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น คืออะไร สมัครที่ไหน สอบเมื่อไหร่ สอบระดับไหนดี

การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นคืออะไร

การสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น (JLPT) เป็นการวัดและรับรองความรู้ภาษาญี่ปุ่นของผู้ที่ไม่ได้ใช้ภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาแม่ จัดสอบขึ้นทั้งในและนอกประเทศญี่ปุ่น

การสอบแบ่งออกเป็น 3 วิชา เพื่อวัดระดับความสามารถโดยรวมในการใช้ภาษาญี่ปุ่นเพื่อการสื่อสาร ดังนี้  [ความรู้ตัวภาษา] เป็นการทดสอบความรู้เกี่ยวกับตัวอักษร คำศัพท์ และไวยากรณ์  [การอ่าน] และ [การฟัง] เป็นการวัดความสามารถในการนำความรู้มาใช้ในการสื่อสาร

จัดขึ้นที่ไหน ปีละกี่ครั้ง

การจัดสอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่นในประเทศไทย จัดขึ้นปีละ 2 ครั้ง (เดือนกรกฎาคม จัดที่กรุงเทพมหานครและเชียงใหม่ เดือนธันวาคม จัดที่กรุงเทพมหานคร เชียงใหม่ สงขลา และขอนแก่น) โดยปกติที่ กรุงเทพมหานครจะจัดสอบที่จุฬา

เปิดรับสมัครสอบ JLPT ช่วงไหน

ปกติการเปิดรับสมัคร สอบวัดระดับภาษาญี่ปุ่น จะเป็นไปตามนี้

ครั้งที่ 1 (กรกฎาคม) : ช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ – ต้นเดือนเมษายน ของทุกปี

ครั้งที่ 2 (ธันวาคม) : ช่วงต้นเดือนสิงหาคม – ต้นเดือนกันยายน ของทุกปี

สมัครสอบ JLPT ได้ที่ไหน

  1. สมัครด้วยตนเอง ที่สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น ตามลิ้งนี้ไปเลยจ้า https://www.ojsat.or.th/ หาต่อเอาไม่ยาก
  2. สมัครทางไปรษณีย์
  3. สมัครทาง online ได้ที่ www.jlptonlinethailand.com

แต่อย่าลืมว่าเขาจะเปิดรับสมัครตามช่วงเวลาข้างบน โดยปกติแล้วจะสมัครได้ทั้งแบบ

สนามสอบและผู้จัดสอบ

สนามสอบผู้จัดสอบกรกฎาคมธันวาคม
กรุงเทพมหานครสมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น ในพระบรมราชูปถัมภ์http://www.ojsat.or.th/main/https://www.facebook.com/OJSAT/
เชียงใหม่สมาคมนักเรียนเก่าญี่ปุ่น ในพระบรมราชูปถัมภ์  สาขาภาคเหนือhttps://ojsatn.wordpress.com/https://www.facebook.com/ojsatn/
สงขลาคณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยทักษิณwww.j-tsu.com
ขอนแก่นสถาบันภาษา มหาวิทยาลัยขอนแก่นhttps://li.kku.ac.thhttps://www.facebook.com/CILLKKULI/

เกณฑ์ความรู้ วิชาที่สอบและเวลาสอบ

ระดับสอบเกณฑ์ความรู้วิชาที่สอบ (เวลาสอบ)
N1สามารถเข้าใจภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ในวงกว้างได้ความรู้ตัวภาษา (อักษร คำศัพท์ และไวยากรณ์) และการอ่าน<110 นาที>การฟัง<60 นาที>
N2สามารถเข้าใจภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ในสถานการณ์ชีวิตประจำวันได้ และสามารถเข้าใจภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ในสถานการณ์ต่างๆ ในวงกว้างได้ในระดับระดับหนึ่งความรู้ตัวภาษา (อักษร คำศัพท์ และไวยากรณ์)  และการอ่าน<105 นาที>การฟัง<50 นาที>
N3สามารถเข้าใจภาษาญี่ปุ่นที่ใช้ในชีวิตประจำวันได้ในระดับหนึ่งความรู้ตัวภาษา (อักษรและคำศัพท์)<30 นาที>ความรู้ตัวภาษา (ไวยากรณ์)  และการอ่าน<70 นาที>การฟัง<40 นาที>
N4สามารถเข้าใจภาษาญี่ปุ่นในระดับพื้นฐานความรู้ตัวภาษา (อักษรและคำศัพท์)<30 นาที>ความรู้ตัวภาษา (ไวยากรณ์) และการอ่าน<60 นาที>การฟัง<35 นาที>
N5สามารถเข้าใจภาษาญี่ปุ่นพื้นฐานได้ในระดับหนึ่งความรู้ตัวภาษา (อักษรและคำศัพท์)<25 นาที>ความรู้ตัวภาษา (ไวยากรณ์) และการอ่าน<50 นาที>การฟัง<30 นาที>

จะรู้ได้ยังว่าสอบระดับไหนดี ?

เดิมทีข้อสอบแบบเก่า ตั้งแต่ระดับ 1 ถึงระดับ 4 (ไม่ใช่ N1-N5) จะมีการนิยามรายละเอียดของผู้สอบไว้อย่างไว้อย่างเป็นรูปธรรมระดับนึง อย่างน้อยก็มากกว่าแบบ N1-N5 เช่น ระดับ 1 ควรต้องมีความรู้ด้านไวยากรณ์ระดับสูง (อย่างน้อยก็น่าจะสัก 800 รูปประโยคได้ตามความเข้าใจของผม แต่คงไม่มีใครนั่งนับ) คันจิประมาณ 2,000 ตัว คำศัพท์ประมาณ 10,000 คำและมีความรู้ภาษาญี่ปุ่นในทักษะรวมที่จำ เป็นในการใช้ดำรงชีวิตในสังคม

แต่ในข้อสอบแบบ N1 ถึง N5 จะมุ่งเสนอในรูปทักษะ “การอ่าน” “การเขียน” อธิบายก็ค่อนข้างเป็น นามธรรม ทำให้เข้าใจยากและไม่รู้ว่าจะเตรียมตัวสอบแบบไหนดี แต่พอเอาเข้าจริงเกณฑ์การแบ่งระดับของข้อสอบแบบ N1-N5 ไม่ได้แตกต่างไปจากเดิมมากนัก ดังนั้น ในการตัดสินใจเลือกระดับสอบ ท่านก็เอาหลักเก่าไปใ้อ้างอิงได้ ตามต่อไปนี้ครับ

ระดับ 1 (เทียบเคียง N1) คันจิ 2,000 ตัว คำศัพท์ 10,000 คำ เวลาเรียนประมาณ 900 ชั่วโมง

ระดับ 2 (เทียบเคียง N2) คันจิ 1,000 ตัว คำศัพท์ 6,000 คำ เวลาเรียนประมาณ 600 ชั่วโมง

ระดับ 3 (เทียบเคียง N4) คันจิ 300 ตัว คำศัพท์ 1,500 คำ เวลาเรียนประมาณ 300 ชั่วโมง

ระดับ 4 (เทียบเคียง N5) คันจิ 100 ตัว คำศัพท์ 800 คำ เวลาเรียนประมาณ 150 ชั่วโมง

ข้อสรุป

สำหรับระดับ N3 เป็นระดับที่แทรกเข้ามาระหว่าง ระดับ 2 กับ ระดับ 3 ซึ่งเดิมค่อนข้างจะมีช่องว่างเยอะ ทำให้คนมีตัวเลือกมากขึ้นในการทดสอบตัวเองครับ

ผมคิดว่าถ้าแต่ละท่านจะทดสอบตัวเองผ่านการสอบวัดระดับ ก็ควรจะเริ่มที่ N4 เป็นอย่างน้อยครับ เพราะนั้นหมายถึงพื้นฐานที่ใช้ต่อยอดสู่การใช้จริงของเราเริ่มมีแล้ว และ N4 ก็คือความรู้มินนะ 4 เล่มนั้นเองครับผม

สุดท้ายนี้ ข้อสอบรูปแบบเก่าตามที่ผมเคยลองทำมาอย่างของระดับ 1 ค่อนข้างจะง่ายกว่า N1 แต่ต้องผ่านด้วยคะแนนที่สูงกว่า ขณะที่ข้อสอบแบบใหม่จะมีเนื้อหาที่ยากกว่าแต่เกณฑ์เพื่อที่จะสอบผ่านอยู่ในระดับที่ต่ำกว่า ก็ไม่ค่อยจะแตกต่างกันมากนัก

การสอบก็คือการสอบ เราสอบให้ผ่าน แล้วก็ไปทำอะไรที่ชอบกัน !!

Studyカテゴリの最新記事