วันนี้เจ้าของบล็อคได้มีโอกาสไปทานร้าน Sushiro ซึ่งก็เป็นร้านซูชิหมุนที่มีชื่อที่ญี่ปุ่นเนื่องจากเป็นซูชิราคาถูกที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศญี่ปุ่น
หลายคนอาจจะเห็นข่าวจากในรีวิวหลาย ๆ ที่มาแล้ว ก็ถือเป็นเรื่องน่ายินที่แม้ประเทศไทมยจะอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยดีเนื่องด้วยโควิดยังอุตส่าห์มีร้านอาหารจากญี่ปุ่นเข้ามาเปิดบริการให้เราได้ลองกัน
ร้าน Sushiro สาขาแรกที่เพิ่งเปิดนั้นตั้งอยู่ที่ชั้น 7 ของเซ็นทรัลเวิร์ด ว่ากันว่าเป็นสาขาที่ใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยมีมาสำหรับร้านนี้ เจ้าของบล็อคในฐานะที่กิน Sushiro ที่ญี่ปุ่นมาบ่อยในอดีตเนื่องจากมันมีสาขาเยอะในจังหวัดที่อยู่สมัยเรียน ก็ไม่รอช้า หลังจากร้านเปิดตัวได้หนึ่งวัน เดินไปนั่งจองตั้งแต่สิบโมงกว่าเพื่อที่จะได้กินตอนเที่ยง
#ถ่ายรูปไม่ค่อยสวย ยังไงขออภัยไว้ล่วงหน้า
เริ่มต้นจากเดินจากสถานี BTS ชิดลม ทางออก 6 ไปยังห้างเซ็นทรัลเวิร์ด รอห้างเปิดตอน 10 โมง จะเห็นว่าไม่ค่อยมีคนเลย เพราะเป็นช่วงวันศุกร์ที่ทุกคนทำงานกันอยู่
มารอห้างเปิดอยู่ประมาณ 5-10 นาที
ถึงเวลาห้างเปิดก็ขึ้นบันไดเลื่อนมาที่ชั้น 7 เดินไปตรงกลางที่เชื่อมไปยังโซนร้านอาหารอีกฝั่ง
เดินเข้ามาก็มีป้ายร้านพร้อมกับแถวยาวแม้ห้างจะเพิ่งเปิด เนื่องจากเป็นวันที่สองหลังจากร้านเปิด คนก็คงอยากจะมาลองกันเยอะ เห็นมีคุณแม่บ้านญี่ปุ่นพาลูก ๆ มาทานด้วย
แน่นอนว่าเจ้าของบล็อคลองต่อแถวไปครั้งหนึ่งตอนที่ห้างเปิดนี่แหละ แล้วก็พบว่าเราจะได้กินเลยถ้าเรามาตอนห้างเปิด แต่เนื่องจากเจ้าของบล็อคจะจองไว้กินตอนเที่ยงเลย ก็เลยทิ้งเวลาไว้จนราวสิบโมงครึ่งได้ไปต่อแถวอีกที ทีนี้กดบัตรคิวได้มาใช้เวลารอ 100 กว่านาที ซึ่งก็จะทำให้ได้ทานตอนเที่ยงพอดี
เพราะงั้นสรุปคือใครอยากทานตอนเที่ยงก็ต้องไปกดบัตรราว ๆ สิบโมงครึ่ง ส่วนใครจะไปกินตอน 5-6 โมงเย็น พนักงานแนะนำให้ไปกดบัตรคิวตอนเที่ยง ส่วนบัตรคิวสุดท้ายที่รับกดจะอยู่ที่ราว ๆ บ่ายสามโมง ซึ่งจะได้กินจริงคือสามทุ่มขึ้นไปเลย (สถานการณ์ความอยากลองของใหม่ทำให้คนทะลักซึ่งเป็นปรกติในประเทศไทย คิดว่าไม่เกิน 3 เดือนจำนวนคนน่าจะน้อยลงเยอะ ถ้าอยากลองแต่ไม่รีบให้รอคนหายก่อนดีกว่า) อย่างไรก็ตามจริง ๆ ใน application มันสามารถกดจองแล้วเดินมากินได้ เพียงแต่ตอนนี้ระบบล่มทำให้กดไม่ได้ก็เลยเดินมาจองเองเลย
ดูเมนูกันไปพลาง ๆ ก่อนเดินไปหาที่นั่งทำอะไรรอ
เมื่อเราได้บัตรคิวของตัวเองมา เราจะเดินไปไหนก็ได้ แล้วค่อยกลับมา ถ้าเราใช้ application ของ Sushiro เราสามารถลงทะเบียนเลขบัตรคิวเราได้ พอใกล้เวลามันก็จะเตือนเรา สำหรับคนที่จองออนไลน์มาอยู่แล้วก็ไม่ต้องมากดบัตรคิวแบบเรา แต่เนื่องด้วยช่วงนี้คนอยากลองเยอะมากทำให้คิวจองออนไลน์เต็มยาวไปหลายอาทิตย์เกือบทุกช่วงเวลา
กลับมาพอจะถึงเวลาเรียกคิวเรา ด้วยความที่คิวเราติดช่วงเที่ยงพอดี ตอนแรกจะถึงคิวแล้ว อยู่ ๆ ก็มีคิวจองออนไลน์มาแทรก 3-4 คิว (เพราะเวลาจองมันจะฟิกเวลาที่ตรง)
นอกจากนี้จะเห็นว่าที่นี่ไม่มีที่นั่งสำหรับคนที่มาคนเดียวหรือสองคนเลยทำให้การหมุนของคนมันไม่เร็วเท่าที่ควรจะเป็น แม้สาขาจะใหญ่ก็ตาม
พอถึงคิวพนักงานจะให้บัตรโต๊ะสำหรับไว้ใช้กับตอนเช็คบิล และเมื่อได้เข้ามานั่งแล้วก็พบกับแท็ปเล็ตที่คุ้นเคย เหมือนที่ญี่ปุ่น
บนสายพานจะมีซูชิที่หมุนมาเรื่อย ๆ ซึ่งตอนที่ผมอยู่ญี่ปุ่นและยังไม่มีโควิด ร้านนี้จะไม่มีฝาครอบ ตอนนี้มีฝาครอบก็คือดูสะอาดขึ้น ไม่ต้องกลัวจะมีใครเอานิ้วไปจิ้มตอนที่มันหมุนอยู่
อย่างไรก็ดีถ้าต้องการความสดใหม่ก็ควรกดสั่งเอาจากแท็ปเล็ตเพราะเขาก็จะทำใหม่ให้เรา
ได้เวลาเริ่มกินก็คือจัดเตรียมอุปกรณ์แล้วก็ไปกดน้ำเปล่า (ฟรี) ส่วนซอฟต์ดริ้งไม่ได้ลองเพราะมาเพื่อลองคุณภาพของซูชิ (น้ำร้อนก็กดได้เลยที่โต๊ะตามรูปด้านบนพร้อมผงชาเขียวที่วางอยู่บนโต๊ะเหมือนที่ญี่ปุ่น)
เริ่มจากสิ่งแรกที่สั่ง เพราะความคิดถึง คือซูชิหน้ากุ้งเทมปุระ แล้วใช้ซอสหวานที่เป็นขวดราดลงไป รสชาติก็โอเค เหมือนญี่ปุ่นเลย
ต่อมาก็จัดกันที่พวกเมนูมาตรฐานที่หากินง่ายในไทยคือแซลม่อนกับกุ้งย่างไฟกับชีส แล้วก็ แซลม่อนธรรมดา คือมันก็อร่อยแต่ก็ไม่ได้ถึงกับแบบต้องมากินที่นี่เป็นพิเศษ
หลังจากนั้นผมก็เริ่มตรวจสอบมาตรฐานปลาโดยการสั่งอะคามิ (เนื้อแดงทูน่า) อะคามิจากครีบน้ำเงิน ฮามาจิ รวมทั้งโอโทโร่ที่มีโปรโมชั่น 1 ชิ้นราคา 40 บาทมาด้วย
เริ่มจากโอโทโร่ชิ้นละ 40 บาท คือก็เรียกว่าตามราคา ถ้า 120 บาทไม่มีทางสั่งกิน เนื่องจากรู้สึกว่าคุณภาพไม่ได้ว้าว ขนาดนั้น (แต่ก็สั่งมากิน 2 ชิ้น สรุปความคิดเห็นเหมือนเดิม)
มาต่อกันที่ปลาเนื้อแดง มากุโระธรรมดา กินเข้าไปแล้วรู้สึกถึงความคุ้มค่าในราคา 40 บาท เนื่องจากเข้าใจว่าบริษัทคงนำเข้าปลาทูน่าทั้งตัวแล้วมาเองแล้วมาแบ่งส่วน ถ้าจะหามากุโระที่รสชาติโอเคในราคาชิ้นละ 20 บาท ปกติคงหาไม่ได้ (เมนูนี้ปรกติเป็นเมนูที่ร้านกำไรน้อยที่สุดแม้ในญี่ปุ่นตามที่ทางร้ายเคยพูดผ่านรายการทีวี) แต่คนไทยก็คงชอบแซลม่อนกันมากกว่าอยู่ดี
มาต่อกันที่ปลาที่หากินดีดียากอย่างฮามะจิในราคาจานละ 60 บาท ตกชิ้นละ 30 บาท คุณภาพคือผ่าน หาที่อื่นไม่ได้แน่นอน
มาต่อกันที่คำเดียวที่ดีที่สุดที่กิน มูลค่า 1 คำ 60 บาทคือ ทูน่าแดงจากฮงมากุโร่ที่คัดแล้ว คือแตกต่างกับเนื้อแดงปรกติที่ชิ้นละ 20 บาทมาอีกขั้นนึง รสชาติหวาน นุ่ม ไม่มีกลิ่นคาวปลาแม้แต่น้อย บอกได้เลยว่าหายากในราคานี้
ปลาไหลก็เฉย ๆ ซาบะก็เฉย ๆ ส่วนเมนูอื่นที่ลองก็มาตรฐานญี่ปุ่น แต่มันก็คือซูชิ 100 เยนของญี่ปุ่นที่ราคาขั้นต่ำเกือบ 50 บาทในไทย (เพราะราคา 40 60 80 120 ไม่รวมชาร์จอีก 10%)
กินไปรวม 13 จาน ก็รู้สึกอิ่ม (จริง ๆ คือ 10 จานน่าจะกำลังดี) ส่วนคุณผู้หญิงปรกติน่าจะกินกันที่ 6-8 จาน โดยเฉลี่ย พอเรียกพนักงานมาคิดเงินเขาก็สามารถคิดแบบจ่ายแยกได้แม้จะนั่งโต๊ะเดียวกัน ของใครของมัน
พนักงานคิดเงินเสร็จก็จะได้บัตรจ่ายเงินของตัวเองมา ไปจ่ายที่เคาท์เตอร์ของใครของมัน
โดยสรุปค่าเสียหายไปทั้งหมด 638 บาท เรียกได้ว่าค่อนข้างแพง (คนที่กินน้อยจะอยู่ที่ 400 กว่าบาท ขณะที่คนกินเยอะจะเสียอยู่ที่ 1,000 กว่าบาท ซึ่งสามารถไปกินร้านที่ดีกว่านี้ได้เยอะ) ที่อร่อยก็มี แต่ที่เฉย ๆ ก็หลายตัว ไม่ได้ให้ความรู้สึกพิเศษอะไรมาก ถ้ามากินคิดถึงความหลังที่ญี่ปุ่นก็เหมาะ แต่ก็คงไม่มากินซ้ำ และไม่ได้ดีถึงขนาดที่จะต้องมานั่งรอ ใครจะไปรอกินกินช่วงเปิดใหม่ ๆ ก็คิดกันให้ดี
ท้ายที่สุดแล้วแม้จะเป็นร้านที่ราคาไม่ถูก คุณภาพไม่ได้ว้าวมาก แต่ก็น่าจะเหมาะสำหรับพาครอบครัวหรือคนรู้จักมาทานแบบชิล ๆ ซึมซับบรรยากาศร้านที่ญี่ปุ่น แนะนำว่าไม่ควรมาเกิน 4 คน เนื่องจากโต๊ะไม่ได้ใหญ่มาก ถ้า 6 คนก็จะอัดกันเกินไป ควรจะแยกโต๊ะ แต่สำหรับใครที่คาดหวังจะมากินของอร่อยคุ้มค่าก็อาจจะไม่ได้ตอบโจทย์สำหรับทุกคน