อนาคตจะเป็นอย่างไร เกลียดเพื่อนร่วมงานคนนี้จัง ทำไมฉันถึงไม่ประสบความสำเร็จ ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นความรู้สึกที่เกิดขึ้นได้ทุกช่วงเวลาของชีวิต อีกทั้งเมื่อมันสะสมแล้วพอกพูนมาก ๆ อาจจะทำให้เกิดการระเบิดของอารมณ์ขึ้นได้
อย่างไรก็ดีถ้าเราลองมาพิจารณาอย่างไร้ซึ่งอคติเราจะพบว่าปัญหาหรือความกังวลที่มีอยู่ภายในจิตใจของเรานั้นเป็นสิ่งที่เราไม่ควรให้คุณค่า
ในวันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่องความวิตกกังวล และวิธีในการต่อกรกับความรู้สึกแย่ ๆ ทั้งหลายเพื่อทำให้ชีวิตของเราชิลและมีเวลาว่างไปทำอะไรที่มีคุณค่ากับชีวิตเพิ่มขึ้น
หนังสือที่เป็นต้นแบบของบทความคือ 反応しない練習 หรือแปลตรง ๆ ก็คือ การฝึกฝนการไม่ตอบโต้ ซึ่งเป็นหนังสือที่ขายดีเล่มหนึ่งเขียนโดยพระภิกษุชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งซึ่งจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโตเกียว ใครสนใจต้นฉบับก็ไปตามกันได้ตามภาพด้านล่าง

ความวิกตกกังวลคืออะไร
ก่อนที่เราจะมาหาทางออกเพื่อคลายความกังวลของชีวิต เราต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ความวิตกกังวลในชีวิตเรานั้นคืออะไร
ตัวอย่างของความวิตกกังวล ตัวอย่างเช่น ไม่พึงพอใจกับชีวิต ล้มเหลวกับการทำงาน มีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์กับผู้คน ฯลฯ
ลองมองดูเผิน ๆ แล้วเรื่องราวเหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่ไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยตัวเราเองคนเดียว แต่แท้จริงแล้วทุกความรู้สึกกังวล หรือปัญหาในใจของเราที่เกิดนั้นล้วนแล้วแต่เกิดมาจาก
“การตอบสนองของจิตใจเรา”
ตัวอย่างเช่น ในขณะที่มีคนที่กินปลาดิบแล้วอร่อย คนบางคนก็อาจจะเกลียดปลาดิบก็เป็นได้ ทั้งที่ปัจจัยภายนอกหรือตัว ปลาดิบ นั้นมันอยู่ของมันเฉย ๆ โดดเดี่ยว แต่ผู้รับประทานอาจจะมีหลากหลายประเภท
หากพูดตรง ๆ ก็คือจะเห็นได้เลยว่าความรู้สึกดีหรือแย่ก็ล้วนแล้วแต่เกิดจากปัจจัยภายในของแต่ละบุคคล หรือก็คือ การตอบสนองของจิตใจ ของเรานั่นเอง ซึ่งสิ่งใด ๆ จะเป็นสิ่งที่ดีหรือแย่ล้วนขึ้นอยู่กับการตอบสนองของจิตใจเรา
แล้วพอรู้แล้วว่าสิ่ง ๆ หนึ่งจะดีหรือแย่ ล้วนแล้วแต่การตอบสนองของจิตใจเรา สิ่งที่เราควรจะทำนั่นก็คือ
“เลิกตอบสนองอย่างไม่จำเป็น”
อันได้แก่ การระงับไม่ให้จิตใจสั่นไหว การไม่ท้อใจ ไม่โกรธ ไม่รู้สึกเกรงกลัว ไม่กังวล ไม่เสียใจ
พอถึงตรงนี้อาจจะคิดว่า เฮ้ยถ้าทำได้ก็ไม่ต้องเครียดแต่แรกแล้วไหม ?
เดี๋ยวเราจะไปดูกันว่าทำยังไงเราถึงจะสามารถเลิกตอบสนองอย่างไม่จำเป็นได้
แต่ต้องทราบก่อนว่าการ เลิกตอบสนองอย่างไม่จำเป็น ไม่ใช่การที่เราฝืนทน อดกลั้น หรือเพิกเฉยกับอะไรสักอย่าง แต่เป็นการ คิด มองและพิจารณาการตอบสนองของจิตใจของเราอย่างเป็นเหตุเป็นผล
ก่อนที่จะตอบโต้ก่อนอื่นต้อง “ทำความเข้าใจ”
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจชีวิตของทุกสรรพสิ่งก่อนว่า ความกังวล ปัญหา ฯลฯ ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่เลี่ยงไมไ่ด้ในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปัญหาง่าย ๆ อย่างการที่เราไม่มีเงินจะกินข้าว หาแฟนไมไ่ด้ อนาคตไม่มี ฯลฯ
เมื่อเรามีปัญหาดังกล่าวแล้ว ไม่ได้แปลว่าให้เรายอมแพ้แล้วก็ก้มหัวยอมรับปัญหานั้น แต่สิ่งที่เราต้องทำคือการ
“เข้าใจปัญหา”
บางทีเราอาจจะมีความค้างคาใจหรือความกังวลที่ไม่รู้สาเหตุ ตัวอย่างเช่น เราไม่มีอนาคต (ไม่มีอนาคตอย่างไร อาจจะเป็นเพราะเราไม่มีเงิน แล้วที่ไม่มีเงินอาจจะเป็นเพราะเราไม่มีความสามารถหรือโชคไม่ดี ฯลฯ) ถ้าเราเข้าใจตัวปัญหาหรือสาเหตุของปัญหาอย่างถ่องแท้แล้ว เราก็จะสามารถเข้าสู่โหมดความคิดเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าวได้
เพราะฉะนั้น ณ จุดนี้
“เราต้องยอมรับก่อนว่าเรามีปัญหา”
ซึ่งมีสาเหตุ แล้วให้เราคิดว่า
ถ้าเป็นกรณีที่ง่าย ๆ เช่น เราเพิ่งทะเลาะกับเพื่อนมา เราก็อาจจะมีความโมโหคลุกกรุ่นอยู่ในจิตใจ
แต่พอเราพิเคราะห์อย่างถี่ถ้วนแล้วเราก็อาจจะเริ่มไม่เข้าใจแล้วว่าทำไมเราต้อง โมโห จากการที่มีการทะเลาะดังกล่าวเกิดขึ้น
ถ้าเราไปถามคนใกล้ตัวเขาก็อาจจะให้คำปรึกษาในลักษณะที่ว่า “ไม่ต้องไปคิดมาหรอก” “แค่เล็กน้อยช่างมันเถอะ” ฯลฯ ซึ่งต่อให้เรารู้ว่ามันเป็นสิ่งที่ควรจะทำ แต่จิตใจของเรามันก็ไม่คงไม่เอนอ่อนไปโดยง่าย ไม่งั้นมันก็คงไม่ใช่ปัญหาแต่แรกที่จะไปปรึกษาใครต่อใคร พอเป็นแบบนี้แล้ว เราก็จะเผชิญกับปัญหาหรือความรู้สึกดังกล่าวอยู่เรื่อยไป เมื่อเหตุการณ์ที่ไม่ถูกจริตกับความรู้สึกของเราเกิดขึ้น
แต่จริง ๆ มันมีวิธีที่ทำให้เราหลุดพ้นจากบ่วงความรู้สึกแย่ ๆ ที่เราสร้างขึ้นมา นั่นก็คือ
“การเข้าใจในแก่นแท้ของสาเหตุของการตอบสนองของจิตใจเรา”
พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ว่า
“สิ่งที่ทำให้เกิดความทุกข์ ก็คือการไขว่ขว้ามาซึ่งความสุข”
หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ เพราะมี “ความอยาก” เมื่อความอยากที่ว่าไมไ่ด้รับการตอบสนองก็ทำให้เราเกิดความทุกข์ เพราะฉะนั้นแล้วการทำความเข้าใจ ความอยาก ดังกล่าวเป็นสิ่งที่แรกที่ควรจะกระทำ
ความอยากนั้นแบ่งได้เป็นหลายประเภท ได้แก่ ความอยากมีชีวิต ความอยากนอน ความอยากกิน ความอยากทางเพศ ความอยากสบาย ความอยากสนุกสนาน ความอยากได้รับการยอมรับ ฯลฯ
ซึ่งทุกครั้งที่คุณมีความรู้สึกแย่หรือขุ่นมัวในจิตใจ ให้พิจารณาเป็นอันดับแรกเลยว่าสิ่งนั้นมันเกิดจากการที่ ความอยากประเภทไหนไมไ่ด้รับการตอบสนอง หากพิจารณาตรงนี้ได้แล้วก็จะทำให้เราเข้าใกล้ถึงสาเหตุของปัญหาไปอีกทีหนึ่ง
ในปัจจุบัน ความอยาก ซึ่งเป็นสาเหตุของปัญหาหลาย ๆ อย่างในชีวิตของเราก็จะเป็น ความอยากได้รับการยอมรับ จากคนรอบข้าง เวลาทำอะไรอยากเป็นที่สนใจ อยากอยู่เหนือกว่าคนอื่น ฯลฯ
มองทุกสิ่งอย่างเป็นกลาง
ทุกครั้งที่เราเผชิญกับความอยากทั้งหลายทั้งปวง ให้เราคิดพิจารณาเป็นอันดับแรกเลยว่า การที่เรา รู้สึกแย่ รู้สึกกังวล มันทำให้เกิดผลอย่างไรกับชีวิต ซึ่งถ้าพิจารณาแล้วพบว่าความรู้สึกหรือการตอบสนองของจิตใจของเราไม่ได้ส่งผลในทางบวกกับชีวิตของเรา ก็ให้ตั้งสติวางความรู้สึกตรงนั้นลงแล้วปล่อยมันไป หากคิดว่าทำได้ยากก็อาจจะเขียนความรู้สึกของจิตใจเราลงในสมุดโน๊ต เพราะหลายครั้งเราจะเพ้อเจ้อหรือมโนในหัวสมองเราเยอะแยะจนไม่สามารถจัดเรียงความรู้สึกได้ พอเราเขียนความรู้สึกนั้นออกมาบนแผ่นกระดาษก็มีแนวโน้มที่เราจะรู้ตัวได้ว่า การตอบสนองของจิตใจ ของเรานั้นมันดูจะเปล่าประโยชน์ก็เป็นได้
ตอนที่เราจะตอบสนองกับอะไรสักอย่างโดยไม่จำเป็น ให้เราพิจารณาแล้วรั้งการตอบสนองนั้นออกไป ไม่เช่นนั้นแล้วเราก็จะเป็นเหยื่อของจิตใจหรือความรู้สึกแย่ ๆ โดยไม่จำเป็น
สรุป
- ปัญหาหรือความกังวลทั้งหลายในจิตใจของเราล้วนแล้วเกิดจากการอบสนองของจิตใจเราเอง
- การยอมรับการมีตัวตนของปัญหาหรือความกังวลนั้นจะทำวให้เราเข้าใจถึงสาเหตุของปัญหาได้
- พอเราเข้าใจสาเหตุของปัญหาก็จะทำให้เราปล่อยวางกับสิ่งเหล่านั้นได้ง่ายขึ้น
- ตอบสนองเฉพาะกับสิ่งที่ทำให้ชีวิตดีขึ้น
- ถ้าจะตอบสนองแย่ ๆ อะไรออกไปก็ให้พิจารณาอย่างเป็นกลางก่อนที่จะทำอะไรลงไป